ความตายคือจุดจบจริง ๆ หรือ?
ความตายคือจุดจบจริง ๆ หรือ?
คงไม่มีเรื่องใดที่น่าสงสัยและค้างคาใจมายาวนานมากไปกว่าคำถามข้อนี้อีกแล้ว นั่นคือคำถามที่ว่า เกิดอะไรขึ้นเมื่อคนเราตาย? เป็นเวลาหลายพันปี ปราชญ์ผู้หลักแหลมในทุก ๆ อารยธรรมเคยขบคิดคำถามนี้. แต่ปรัชญาและการค้นคว้าทางวิทยาศาสตร์ของมนุษย์ก็ให้ได้แค่ทฤษฎีและเรื่องเล่าปรัมปรามากมายเท่านั้นเอง.
แล้วคำสอนในคัมภีร์ไบเบิลล่ะเป็นอย่างไร? บางคนอาจแย้งว่า ในเรื่องความตายและการดำรงอยู่หลังจากนั้น คัมภีร์ไบเบิลก็ทำให้สับสนเหมือนกัน. อย่างไรก็ตาม ถ้าจะให้ยุติธรรมเราต้องยอมรับว่าความสับสนนั้นเกิดมาจากคริสตจักรต่าง ๆ ซึ่งทำให้คำสอนของคัมภีร์ไบเบิลที่ชัดเจนราวกับน้ำอันใสสะอาดต้องขุ่นไปด้วยความเท็จและตำนานต่าง ๆ. ถ้าคุณมองข้ามคำสอนสืบปากและนิยายปรัมปราเหล่านั้นและจดจ่ออยู่เฉพาะแต่สิ่งที่คัมภีร์ไบเบิลสอน คุณจะพบคำสอนที่สมเหตุสมผลและให้ความหวัง.
ก่อนที่คุณจะมีชีวิตอยู่
ขอให้พิจารณาถ้อยแถลงสองตอนของกษัตริย์ซะโลโมที่ยกมาในบทความที่แล้วเป็นตัวอย่าง. ข้อคัมภีร์เหล่านั้นทำให้เห็นชัดว่าทั้งคนตายและสัตว์ที่ตายแล้วรับรู้อะไรไม่ได้เลย. ดังนั้น ตามที่คัมภีร์ไบเบิลสอน คนตายแล้วทำอะไรไม่ได้, ไม่มีความรู้สึก, ไม่มีอารมณ์, และไม่มีความคิดใด ๆ.—ท่านผู้ประกาศ 9:5, 6, 10.
นี่เป็นเรื่องเหลือเชื่อไหม? ลองคิดดู ก่อนที่คนคนหนึ่งจะมีชีวิตอยู่ เขามีสภาพเป็นอย่างไร? คุณอยู่ที่ไหนก่อนที่เซลล์เล็ก ๆ จากพ่อและแม่จะมารวมกันกลายเป็นตัวคุณ? ถ้ามนุษย์มีสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่มองไม่เห็นซึ่งดำรงอยู่ต่อไปหลังจากตายแล้ว สิ่งนั้นอยู่ที่ไหนก่อนการปฏิสนธิ? ความจริงก็คือ คุณไม่อาจระลึกได้ว่าเคยดำรงอยู่ก่อนเกิดเป็นมนุษย์. ก่อนที่คุณจะปฏิสนธิ คุณไม่เคยดำรงอยู่. เรื่องนี้เข้าใจง่ายและชัดเจน.
ดังนั้น สมเหตุสมผลที่จะลงความเห็นว่าเมื่อเราตาย การรับรู้ของเราก็กลับสู่สภาวะเดียวกับช่วงก่อนที่เราจะมีชีวิตอยู่. เป็นดังที่พระเจ้าตรัสกับอาดามหลังจากเขาไม่เชื่อฟังที่ว่า “เจ้าเป็นแต่ผงคลีดิน, และจะต้องกลับเป็นผงคลีดินอีก.” (เยเนซิศ 3:19) ในแง่นี้ มนุษย์ไม่มีอะไรต่างไปจากสัตว์. ในเรื่องสภาพของคนตาย สิ่งที่คัมภีร์ไบเบิลบอกเป็น ความจริงที่ว่า “มนุษย์ไม่มีอะไรดียิ่งไปกว่าสัตว์เดียรัจฉาน.”—ท่านผู้ประกาศ 3:19, 20.
นี่หมายความว่ามนุษย์จะมีชีวิตอยู่ได้เพียงไม่กี่สิบปีและแล้วต้องดับสูญไปตลอดกาลอย่างนั้นไหม? หรือว่ามีความหวังอะไรบางอย่างสำหรับคนที่ล่วงลับไปแล้ว? ขอให้มาพิจารณากันต่อไป.
ความปรารถนาแต่กำเนิดที่อยากจะมีชีวิตอยู่
ความตายเป็นเรื่องที่แทบไม่มีใครอยากพูดถึง. คนส่วนใหญ่ดูเหมือนพยายามเลี่ยงที่จะพูดหรือแม้แต่จะคิดเรื่องความตายของตัวเอง. ในอีกด้านหนึ่ง พวกเขาได้เห็นภาพของผู้คนที่ตายในทุกรูปแบบเท่าที่จะนึกภาพออกได้จากโทรทัศน์และภาพยนตร์มากมาย รวมทั้งได้เห็นเรื่องราวและภาพของการตายจริง ๆ ซึ่งออกมาตามสื่อมวลชนต่าง ๆ.
ผลก็คือ การตายของคนที่ไม่รู้จักอาจดูเหมือนเป็นเรื่องปกติธรรมดาในชีวิต. กระนั้น เมื่อเราเผชิญกับความตายของคนที่เรารักหรือของตัวเราเอง เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องปกติธรรมดาเลย. นี่เป็นเพราะมนุษย์มีความปรารถนาในส่วนลึกที่อยากจะมีชีวิตอยู่. เรายังสามารถสำนึกถึงกาลเวลาและแนวคิดเรื่องนิรันดรกาลอีกด้วย. กษัตริย์ซะโลโมเขียนว่าพระเจ้า “บรรจุนิรันดรกาลไว้ในจิตใจของมนุษย์.” (ท่านผู้ประกาศ 3:11, ฉบับแปลใหม่) ภายใต้สภาพการณ์ปกติ เราต้องการจะมีชีวิตอยู่ต่อไปเรื่อย ๆ. เราต้องการชีวิตที่ยาวนานไม่มีวันหมดอายุ. ไม่มีอะไรบ่งชี้ว่าสัตว์มีความปรารถนาเช่นนี้. พวกมันมีชีวิตอยู่โดยไม่สามารถสำนึกถึงอนาคตได้.
ศักยภาพอันมหาศาลของมนุษย์
มนุษย์ไม่ได้มีเพียงความปรารถนาที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไปเรื่อย ๆ เท่านั้น แต่ยังมีศักยภาพที่จะคิดทำสิ่งนั้นสิ่งนี้ตลอดไปด้วย. ความสามารถในการเรียนรู้ของคนเราดูเหมือนว่าไม่มีขีดจำกัด. มีคนเคยพูดไว้ว่าไม่มีอะไรในโลกธรรมชาติที่เทียบได้กับสมองของมนุษย์ในเรื่องความสลับซับซ้อนและความสามารถในการฟื้นตัว. ต่างจากสัตว์ เรามีความสามารถในการคิดหาเหตุผลและเข้าใจสิ่งที่เป็นนามธรรมได้. นักวิทยาศาสตร์เพิ่งเข้าใจเพียงแค่ผิว ๆ เท่านั้นในเรื่องศักยภาพของสมองมนุษย์.
ส่วนใหญ่ศักยภาพนี้ยังคงมีอยู่แม้ว่าเรามีอายุมากขึ้น. ไม่นานมานี้ นักประสาทวิทยาศาสตร์ได้มารู้ว่าการทำงานของสมองส่วนใหญ่ไม่ได้เสื่อมทรุดไปเลยแม้คนเราจะแก่ชราลง. นักวิจัยที่ทำงานให้กับศูนย์วิจัยเพื่อนวัตกรรมการเรียนวิทยาศาสตร์แห่งสถาบันแฟรงกลินอธิบายว่า “สมองของมนุษย์มีความสามารถที่จะปรับตัวอยู่เสมอและสร้างจุดเชื่อมต่อใหม่ด้วยตัวเอง. แม้แต่เมื่อถึงวัยชรา สมองก็สามารถสร้างเซลล์ประสาทใหม่ ๆ ได้. ตามปกติ การเสื่อมทรุดทางจิตใจอย่างรุนแรงมักเกิดจากการเจ็บป่วย ขณะที่การเสื่อมในเรื่องความจำและการประสานงานในร่างกายซึ่งเกิดขึ้นพร้อมกับอายุที่มากขึ้นนั้น ส่วนใหญ่เป็นเพราะขาดกิจกรรมที่มีการเคลื่อนไหวรวมทั้งขาดการฝึกฝนและการกระตุ้นทางความคิดจิตใจ.”
พูดอีกอย่างหนึ่งคือ ถ้าเราสามารถกระตุ้นความคิดจิตใจอยู่เสมอและป้องกันตัวเองจากโรคภัยได้ สมองก็จะสามารถทำงานได้อย่างไม่รู้จักจบสิ้น. นักชีววิทยาระดับโมเลกุลชื่อเจมส์ วัตสัน หนึ่งในผู้ค้นพบโครงสร้างของดีเอ็น-เอ กล่าวว่า “สมองเป็นสิ่งที่ซับซ้อนที่สุดเท่าที่เราเคยค้นพบในเอกภพของเรา.” หนังสือที่เขียนโดยนักประสาทวิทยาศาสตร์ชื่อเจอรัลด์ เอเดลแมนอธิบายว่า ชิ้นส่วนของสมองขนาดเท่ากับหัวไม้ขีดไฟ “มีจุดเชื่อมต่อประมาณหนึ่งพันล้านจุดซึ่งสามารถรวมตัวกันในวิธีที่พรรณนาได้เพียงอย่างเดียวว่ามากมายมหาศาลคือ ราว ๆ เลขสิบตามด้วยศูนย์นับล้าน ๆ ตัว.”
เป็นเรื่องสมเหตุสมผลไหมที่มนุษย์ถึงแม้จะมีศักยภาพอันมหาศาลเช่นนี้ แต่ก็มีชีวิตอยู่ได้เพียงไม่กี่สิบปี? เรื่องนี้ไร้เหตุผล เป็นเหมือนกับการใช้หัวรถจักรอันทรงพลังลากรถไฟสินค้าขบวนยาวเพียงเพื่อจะขนทรายเม็ดเดียวไปใน
ระยะทางเพียงไม่กี่นิ้ว! ถ้าอย่างนั้น ทำไมมนุษยชาติจึงมีศักยภาพอันมหาศาลที่จะคิดสร้างสรรค์และเรียนรู้เช่นนี้? เป็นไปได้ไหมที่มนุษย์ต่างจากสัตว์ในข้อที่ว่ามนุษย์ไม่น่าจะต้องตายเลย—มนุษย์ถูกสร้างให้มีชีวิตตลอดไป?ความหวังจากพระผู้สร้างชีวิต
ข้อเท็จจริงที่ว่าเรามีความปรารถนามาแต่กำเนิดที่จะมีชีวิตอยู่และมีศักยภาพอันมหาศาลที่จะเรียนรู้นำไปสู่ข้อสรุปที่สมเหตุสมผล: มนุษย์ได้รับการออกแบบให้มีชีวิตที่ยืนยาวกว่าเพียงแค่ 70 หรือ 80 ปีมากนัก. แล้วเรื่องนี้ก็นำไปสู่ข้อสรุปอีกข้อหนึ่งคือ: ผู้ออกแบบ หรือพระเจ้าผู้สร้างต้องมีอยู่จริง. กฎที่มั่นคงแน่นอนของเอกภพและความซับซ้อนอันสุดจะหยั่งถึงของชีวิตบนโลกสนับสนุนความเชื่อที่ว่าพระผู้สร้างมีอยู่จริง.
ที่จริง ถ้าพระเจ้าทรงสร้างเราให้สามารถจะมีชีวิตอยู่ได้ตลอดไป ทำไมเราจึงต้องตาย? และเกิดอะไรขึ้นหลังจากที่เราตายไป? พระเจ้ามีพระประสงค์ที่จะทำให้คนตายกลับมามีชีวิตอีกไหม? คงสมเหตุสมผลที่พระเจ้าผู้ฉลาดสุขุมและทรงฤทธานุภาพจะให้คำตอบเราเกี่ยวกับคำถามเหล่านี้ และพระองค์ก็ได้ให้คำตอบไว้แล้ว. ขอให้มาพิจารณากันในเรื่องนี้:
▪ ความตายไม่ได้อยู่ในพระประสงค์แรกเดิมของพระเจ้าสำหรับมนุษย์. ในครั้งแรกที่มีการกล่าวถึงความตายในคัมภีร์ไบเบิลบ่งชี้ว่าเดิมทีพระเจ้าไม่ได้ประสงค์ให้มนุษย์ต้องตาย. บันทึกในคัมภีร์ที่พระธรรมเยเนซิศอธิบายว่าพระเจ้าให้โอกาสแก่อาดามและฮาวา มนุษย์คู่แรก ที่จะแสดงความรักและความภักดีของตนโดยจัดให้มีการทดสอบง่าย ๆ เรื่องหนึ่ง. การทดสอบนี้คือการสั่งห้ามไม่ให้กินผลไม้จากต้นไม้ต้นหนึ่ง. พระเจ้าตรัสว่า “ถ้าเจ้าขืนกินในวันใด, เจ้าจะตายในวันนั้นเป็นแน่.” (เยเนซิศ 2:17) อาดามกับฮาวาจะตายก็ต่อเมื่อพวกเขาขัดขืนอำนาจ ซึ่งถือว่าพวกเขาไม่ผ่านการทดสอบ. บันทึกในคัมภีร์ไบเบิลเปิดเผยว่าพวกเขาไม่ภักดีต่อพระเจ้า และด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงตาย. โดยวิธีนี้ ความไม่สมบูรณ์และความตายจึงเริ่มต้นขึ้นในครอบครัวมนุษย์.
▪ คัมภีร์ไบเบิลเปรียบความตายเป็นเหมือนการนอนหลับ. คัมภีร์ไบเบิลพูดถึงการ “หลับไปในความตาย.” (บทเพลงสรรเสริญ 13:3) ก่อนจะปลุกลาซะโรสหายของพระองค์ให้กลับเป็นขึ้นจากตาย พระเยซูทรงอธิบายให้อัครสาวกฟังว่า “ลาซะโรสหายของเราหลับพักผ่อนไปแล้ว แต่เราจะไปปลุกเขา.” และพระเยซูทรงทำ เช่นนั้นจริง ๆ! คัมภีร์ไบเบิลกล่าวว่าเมื่อพระองค์ทรงร้องเรียก “[ลาซะโร] ผู้ตายนั้นก็ออกมา” จาก“อุโมงค์ฝังศพ”—เขากลับมามีชีวิตอีก!—โยฮัน 11:11, 38-44.
ทำไมพระเยซูเรียกการตายว่าการนอนหลับ? เนื่องจากคนที่นอนหลับอยู่ทำอะไรไม่ได้. ขณะที่คนเราหลับสนิท เขาไม่สามารถรับรู้ถึงสิ่งรอบตัวหรือกาลเวลาที่ผ่านไปได้. เขาไม่รู้สึกเจ็บหรือเป็นทุกข์. ในทำนองเดียวกัน เมื่อคนเราตายเขาก็ทำอะไรหรือรับรู้อะไรไม่ได้เลย. แต่การเปรียบเทียบยังมีมากกว่านั้น. ถ้าคนหนึ่งหลับไป ก็คาดหมายได้ว่าเขาจะตื่น. และนั่นแหละคือความหวังที่คัมภีร์ไบเบิลให้แก่คนที่ตายไป.
พระผู้สร้างเองทรงสัญญาไว้ว่า “จากเงื้อมมือของเชโอล [หลุมฝังศพ] เราจะไถ่เขา; จากความตายเราจะนำเขากลับมา. โอ้ความตาย เหล็กในของเจ้าอยู่ไหน? โอ้เชโอล อำนาจทำลายของเจ้าอยู่ไหน?” (โฮเซอา 13:14, ล.ม.) คำพยากรณ์อีกข้อหนึ่งของคัมภีร์ไบเบิลกล่าวว่าพระเจ้า “จะทรงทำลายความตายให้สาบสูญ; และพระยะโฮวาจะทรงเช็ดน้ำตาจากหน้าของคนทั่วไป.” (ยะซายา 25:8) ขั้นตอนของการทำให้คนตายกลับมามีชีวิตอีกถูกเรียกว่า การกลับเป็นขึ้นจากตาย.
▪ คนที่กลับเป็นขึ้นจากตายจะอาศัยอยู่ที่ไหน? ดังที่ได้พิจารณาไปแล้ว มนุษย์มีความปรารถนาตามธรรมชาติที่จะมีชีวิตต่อไปเรื่อย ๆ. คุณเองต้องการจะมีชีวิตอยู่ตลอดไปที่ไหน? คุณจะพอใจไหมถ้ารู้ว่าหลังจากตายไปแล้วคุณจะดำรงอยู่ต่อ ๆ ไปเป็นส่วนหนึ่งของพลังชีวิตในธรรมชาติที่ไม่มีตัวตน ดังที่ศาสนาบางศาสนาสอนไว้? คุณอยากจะมีชีวิตอยู่ต่อไปไหมถ้าคุณจะต้องกลายเป็นอีกบุคคลหนึ่ง และจำอะไรไม่ได้เลยว่าคุณเคยเป็นใครมาก่อนที่จะตาย? คุณจะชอบไหมถ้าได้กลับมามีชีวิตอีกแต่กลายเป็นสัตว์หรือเป็นต้นไม้? ถ้าเลือกได้ คุณอยากจะมีชีวิตอยู่ในดินแดนที่ไม่มีสิ่งใดที่คุณคุ้นเคยและเพลิดเพลินเหมือนตอนที่เป็นมนุษย์ไหม?
ถ้าจะให้ดีจริง ๆ แล้ว คุณคงต้องการจะมีชีวิตอยู่ในโลกที่เป็นอุทยานมิใช่หรือ? ความหวังที่คัมภีร์ไบเบิลให้ไว้ก็คือสิ่งนี้แหละ การมีชีวิตอยู่ตลอดไปในโลกนี้เอง. พระเจ้าทรงสร้างแผ่นดินโลกไว้เพื่อจุดประสงค์นี้—คือที่จะมีผู้คนอาศัยอยู่ เป็นผู้ที่รักและรับใช้พระองค์ตลอดไปด้วยความสุข. นั่นคือเหตุผลที่คัมภีร์ไบเบิลกล่าวว่า “คนสัตย์ธรรมจะได้แผ่นดินเป็นมฤดก, และจะอาศัยอยู่ที่นั่นต่อไปเป็นนิตย์.”—บทเพลงสรรเสริญ 37:29; ยะซายา 45:18; 65:21-24.
▪ การกลับเป็นขึ้นจากตายจะเกิดขึ้นเมื่อไร? ข้อที่ว่าความตายถูกเปรียบเหมือนการนอนหลับแสดงว่า ตามปกติการกลับเป็นขึ้นจากตายไม่ได้เกิดขึ้นทันทีที่คนเราโยบ 14:14, 15) จะมีความยินดีสักเพียงไรเมื่อเวลานั้นมาถึง และคนตายได้พบหน้ากับคนที่ตนรักอีกครั้งหนึ่ง!
ตายไป. ระหว่างการตายและการกลับเป็นขึ้นจากตายจะต้องมีช่วงเวลาของ “การนอนหลับ.” ในคัมภีร์ไบเบิล บุรุษผู้หนึ่งชื่อโยบเคยตั้งคำถามไว้ว่า “ถ้ามนุษย์ตายแล้วจะเป็นขึ้นมาอีกหรือ?” แล้วท่านตอบว่า “ข้าฯ สมัครใจคอย [ในหลุมฝังศพ] ตลอดเวลากำหนด, จนกว่าจะทรงปล่อยข้าฯ ออกมา. [พระเจ้า] จะทรงเรียก, และข้าฯ จะทูลตอบ.” (ไม่ต้องกลัวจนเกินเหตุ
จริงอยู่ ความหวังที่คัมภีร์ไบเบิลให้ไว้อาจไม่ได้ทำให้การกลัวความตายหายไปทั้งหมด. เป็นเรื่องธรรมดาที่จะกังวลเรื่องความเจ็บปวดและความทุกข์ที่บางครั้งนำไปสู่ความตาย. เป็นที่เข้าใจได้ว่าคุณอาจกลัวว่าคนที่คุณรักจะเสียชีวิตไป. และถ้าคุณกลัวว่าเมื่อคุณเองตายไปแล้วจะเกิดผลที่น่าเศร้ากับคนที่คุณรัก นั่นก็เป็นเรื่องธรรมดาเช่นกัน.
ถึงอย่างไรก็ตาม เมื่อคัมภีร์ไบเบิลเปิดเผยให้ทราบถึงสภาพที่แท้จริงของคนตาย นั่นก็ช่วยเราให้ขจัดความกลัวตายจนเกินเหตุ. เราไม่จำเป็นต้องกลัวการถูกทรมานจากปิศาจในนรก. เราไม่จำเป็นต้องกลัวแดนวิญญาณอันมืดมนที่ซึ่งมีวิญญาณร่อนเร่วนเวียนตลอดกาล. และเราไม่จำเป็นต้องกลัวว่าวันข้างหน้าจะมีแต่การดับสูญตลอดชั่วกัปชั่วกัลป์. เพราะอะไร? เพราะว่าพระเจ้าทรงมีความทรงจำที่ไม่มีขีดจำกัด และพระองค์สัญญาว่าจะทำให้คนตายทุกคนที่อยู่ในความทรงจำของพระองค์กลับคืนสู่ชีวิตบนแผ่นดินโลกนี้อีกครั้งหนึ่ง. คัมภีร์ไบเบิลรับประกันเรื่องนี้ไว้ด้วยถ้อยคำที่ว่า “พระเจ้าเป็นพระเจ้าผู้ทรงช่วยให้เรารอด; และทางที่ให้พ้นจากความตายนั้นเป็นของพระยะโฮวาเจ้า.”—บทเพลงสรรเสริญ 68:20.
[คำโปรยหน้า 5]
“เจ้าเป็นแต่ผงคลีดิน, และจะต้องกลับเป็นผงคลีดินอีก.”—เยเนซิศ 3:19
[คำโปรยหน้า 6]
“[พระเจ้า] ทรงบรรจุนิรันดรกาลไว้ใน จิตใจของมนุษย์.”—ท่านผู้ประกาศ 3:11, ฉบับแปลใหม่
[กรอบ/ภาพหน้า 8]
คำถามของคุณเกี่ยวกับความตายได้รับคำตอบ
จริงอยู่ มีคำถามบางข้อเกี่ยวกับความตายและการกลับเป็นขึ้นจากตายที่ไม่ได้กล่าวถึงในบทความชุดนี้. หลายคนได้คำตอบที่น่าพอใจโดยการศึกษาคัมภีร์ไบเบิลอย่างถี่ถ้วนกับพยานพระยะโฮวา. เราขอสนับสนุนคุณให้ทำอย่างนั้น. คำถามต่อไปนี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งของคำถามที่คุณจะได้รับคำตอบ:
▪ คำว่า “นรก” และ “บึงไฟ” ที่มีอยู่ในคัมภีร์ไบเบิลหมายถึงอะไร?
▪ ถ้าไม่มีนรก แล้วคนชั่วจะได้รับการลงโทษอย่างไร?
▪ ตามที่คัมภีร์ไบเบิลกล่าว วิญญาณออกจากร่างเมื่อตาย. วิญญาณนั้นคืออะไร?
▪ ทำไมจึงมีข่าวเรื่องการติดต่อกับคนตายมากมายเหลือเกิน?
▪ คำว่า “จิตวิญญาณ” ในคัมภีร์ไบเบิลหมายถึงอะไร?
▪ การกลับเป็นขึ้นจากตายสู่อุทยานบนแผ่นดินโลกจะเกิดขึ้นจริงเมื่อไร?
▪ คนที่ตายไปแล้วทุกคนจะได้รับการปลุกให้เป็นขึ้นจากตายไหมไม่ว่าเขาจะเคยประพฤติตัวอย่างไรขณะที่มีชีวิตอยู่?
โปรดดูด้านหลังของวารสารนี้เพื่อรู้ว่าคุณจะได้รับคำตอบที่ชัดเจนตามหลักของคัมภีร์ไบเบิลสำหรับคำถามเหล่านี้อย่างไร.
[ภาพหน้า 7]
พระเยซูตรัสว่าพระองค์จะ “ปลุก” ลาซะโรจากหลับ
[ภาพหน้า 8, 9]
ขอให้นึกภาพความสุขที่จะเกิดขึ้นเมื่อคนที่เรารักซึ่งเคยเสียชีวิตไปกลับเป็นขึ้นจากตาย!