คุณนำหน้าในการให้เกียรติเพื่อนร่วมความเชื่อไหม?
คุณนำหน้าในการให้เกียรติเพื่อนร่วมความเชื่อไหม?
“จงมีความรักใคร่อันอบอุ่นต่อกันฉันพี่น้อง. จงนำหน้าในการให้เกียรติกัน.” —โรม 12:10
1, 2. (ก) เปาโลให้คำแนะนำอะไรในจดหมายที่เขียนถึงคริสเตียนในกรุงโรม? (ข) เราจะพิจารณาคำถามอะไรบ้าง?
ในจดหมายที่เขียนถึงคริสเตียนในกรุงโรม อัครสาวกเปาโลเน้นความสำคัญที่เราในฐานะคริสเตียนจะต้องแสดงความรักภายในประชาคม. ท่านเตือนเราให้ระลึกว่าความรักของเราควร “ปราศจากมารยา.” ท่านยังกล่าวถึง “ความรัก . . . ฉันพี่น้อง” ด้วย และชี้ว่าความรักเช่นนั้นควรแสดงออกด้วย “ความรักใคร่อันอบอุ่น.”—โรม 12:9, 10ก
2 แน่ละ การมีความรักฉันพี่น้องเกี่ยวข้องไม่เพียงแค่การมีความรู้สึกอันอบอุ่นต่อคนอื่น ๆ เท่านั้น. ความรู้สึกเช่นนั้นต้องแสดงให้เห็นด้วยการกระทำ. ที่จริง ไม่มีใครรู้ว่าเรามีความรักเว้นแต่ว่าเราจะแสดงออกมาให้เห็นด้วยวิธีใดวิธีหนึ่ง. ด้วยเหตุนั้น เปาโลให้คำแนะนำเพิ่มเติมว่า “จงนำหน้าในการให้เกียรติกัน.” (โรม 12:10ข) การให้เกียรติเกี่ยวข้องกับอะไร? เหตุใดจึงสำคัญที่จะนำหน้าในการให้เกียรติเพื่อนร่วมความเชื่อ? เราจะทำเช่นนั้นได้อย่างไร?
นับถือและให้เกียรติ
3. คำว่า “เกียรติ” มีความหมายอย่างไรในคำภาษาเดิมที่ใช้ในคัมภีร์ไบเบิล?
3 คำหลักที่ใช้ในภาษาฮีบรูสำหรับคำว่า “เกียรติ” มีความหมายตามตัวอักษรว่า “หนัก.” คนที่ได้รับเกียรติถูกมองว่ามีน้ำหนักหรือมีความสำคัญ. คำภาษาฮีบรูคำเดียวกันนี้ยังมักแปลกันในพระคัมภีร์ว่า “ยศศักดิ์” ซึ่งบ่งชี้มากขึ้นไปอีกถึงความนับถืออย่างสูงที่แสดงต่อคนที่ได้รับเกียรติ. (เย. 45:13) คำภาษากรีกที่แปลว่า “เกียรติ” ในคัมภีร์ไบเบิลสื่อความหมายของการยกย่อง, ความมีคุณค่า, ความล้ำเลิศ. (ลูกา 14:10) ใช่แล้ว คนที่เราให้เกียรติเป็นคนที่มีค่าอย่างยิ่งสำหรับเรา.
4, 5. การให้เกียรติและการมีความนับถือเกี่ยวข้องกันอย่างไร? จงยกตัวอย่าง.
4 การให้เกียรติคนอื่นเกี่ยวข้องกับอะไร? การให้เกียรติเริ่มมาจากการมีความนับถือ. ที่จริง คำว่า “เกียรติ” และ “ความนับถือ” มักใช้ควบคู่กันเพราะทั้งสองคำนี้มีความเกี่ยวข้องกันอย่างใกล้ชิด. การให้เกียรติเป็นการแสดงให้เห็นถึงความนับถือที่อยู่ภายใน. พูดอีกอย่างหนึ่งก็คือ ส่วนใหญ่แล้วการแสดงความนับถือหมายถึงวิธีที่เรามอง พี่น้องของเรา ส่วนการให้เกียรติหมายถึงวิธีที่เราปฏิบัติ ต่อพี่น้องของเรา.
5 คริสเตียนจะแสดงให้เห็นว่าเขาให้เกียรติเพื่อนร่วมความเชื่อจริง ๆ ได้อย่างไรถ้าเขาไม่มีความนับถือจากใจจริงต่อพี่น้อง? (3 โย. 9, 10) เช่นเดียวกับที่พืชจะเจริญเติบโตและยืนต้นอยู่ได้ก็ต่อเมื่อรากของมันอยู่ในดินดี การให้เกียรติกันอย่างแท้จริงอยู่เสมอจะทำได้ก็ต่อเมื่อมีความนับถือจากใจจริงเป็นรากฐาน. เนื่องจากการให้เกียรติอย่างไม่จริงใจไม่ได้มาจากความนับถือที่แท้จริง การให้เกียรติอย่างนี้ย่อมจะเลิกราไปไม่ช้าก็เร็ว. ด้วยเหตุนั้น ก่อนเปาโลจะแนะนำว่าควรให้เกียรติกันท่านกล่าวอย่างชัดเจนว่า “ให้ความรักของพวกท่านปราศจากมารยา.”—โรม 12:9; อ่าน 1 เปโตร 1:22
จงให้เกียรติคนที่ถูกสร้าง “ตามแบบพระเจ้า”
6, 7. เหตุใดเราจำเป็นต้องมีความนับถือต่อคนอื่น?
6 เนื่องจากการมีความนับถือจากใจจริงเป็นปัจจัยสำคัญอย่างหนึ่งในการให้เกียรติ เราไม่ควรมองข้ามเหตุผลต่าง ๆ ตามหลักพระคัมภีร์สำหรับการนับถือพี่น้องของเราทั้งหมด. ดังนั้น ให้เราพิจารณาเหตุผลสองประการ.
7 มนุษย์เราไม่เหมือนกับสิ่งทรงสร้างอื่น ๆ บนแผ่นดินโลก เพราะเราถูกสร้าง “ตามแบบพระเจ้า.” (ยโก. 3:9) ดังนั้น เรามีคุณลักษณะแบบเดียวกับพระเจ้า เช่น ความรัก, สติปัญญา, และความยุติธรรม. ขอให้สังเกตว่ามีอะไรอีกที่เราได้รับจากพระผู้สร้างของเรา. ผู้ประพันธ์เพลงสรรเสริญกล่าวว่า “ข้าแต่พระยะโฮวา . . . พระองค์ทรงเปล่งรัศมีในฟ้าสวรรค์ให้ปรากฏแจ้ง. . . . แท้จริงพระองค์ทรงสร้างมนุษย์ให้ต่ำกว่าพระเจ้าแต่หน่อยเดียว, แล้วทรงสวมมงกุฎแห่งสง่าราศีและเกียรติยศ.” (เพลง. 8:1, 4, 5; 104:1) * การให้เกียรติใครคนหนึ่งอย่างที่เขาสมควรจะได้รับเป็นวิธีหนึ่งที่เราถวายเกียรติแด่พระยะโฮวาผู้ทรงให้เกียรติแก่มนุษย์ทุกคน. หากเรามีเหตุผลสมควรที่จะแสดงความนับถือผู้คนโดยทั่วไป เราก็ยิ่งมีเหตุผลมากกว่านั้นสักเพียงไรที่จะนับถือเพื่อนร่วมความเชื่อ!—โย. 3:16; กลา. 6:10
สมาชิกครอบครัวเดียวกัน
8, 9. เปาโลกล่าวอย่างไรถึงเหตุผลที่ต้องมีความนับถือต่อเพื่อนร่วมความเชื่อ?
8 เปาโลกล่าวถึงอีกเหตุผลหนึ่งที่เราควรนับถือคนอื่น. ก่อนที่ท่านจะแนะนำเรื่องการให้เกียรติ ท่านกล่าวว่า “จงมีความรักใคร่อันอบอุ่นต่อกันฉันพี่น้อง.” คำภาษากรีกที่แปลว่า “ความรักใคร่อันอบอุ่น” หมายถึงความผูกพันอันเหนียวแน่นที่หลอมรวมครอบครัวที่รักและเกื้อหนุนกันและกันให้เป็นหนึ่งเดียว. ฉะนั้น โดยใช้คำนี้เปาโลจึงเน้นว่าสายสัมพันธ์ในประชาคมควรแน่นแฟ้นและอบอุ่นเหมือนสายสัมพันธ์ในครอบครัวที่ใกล้ชิดสนิทสนม. (โรม 12:5) นอกจากนั้น อย่าลืมว่าเปาโลเขียนคำแนะนำนี้ไปถึงคริสเตียนผู้ถูกเจิม ซึ่งทั้งหมดถูกรับเป็นบุตรของพระยะโฮวา พระบิดาองค์เดียวกัน. ดังนั้น ในความหมายที่สำคัญมากอย่างหนึ่ง พวกเขาเป็น คนในครอบครัวเดียวกัน. ด้วยเหตุนั้น คริสเตียนผู้ถูกเจิมในสมัยของเปาโลจึงมีเหตุผลอันหนักแน่นจริง ๆ ที่จะนับถือกัน. เป็นเช่นนั้นด้วยกับผู้ถูกเจิมในสมัยปัจจุบัน.
9 จะว่าอย่างไรสำหรับคนที่เป็น “แกะอื่น”? (โย. 10:16) แม้ว่าพวกเขายังไม่ได้ถูกรับเป็นบุตรของพระเจ้า แต่พวกเขาสามารถเรียกกันและกันได้อย่างเหมาะสมว่าพี่น้อง เพราะพวกเขาประกอบกันเป็นครอบครัวคริสเตียนที่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันตลอดทั่วโลก. (1 เป. 2:17; 5:9) ด้วยเหตุนั้น ถ้าคนที่เป็นแกะอื่นเข้าใจความหมายอย่างถ่องแท้เมื่อเขาเรียกพี่น้องว่า “บราเดอร์” หรือ “ซิสเตอร์” พวกเขาก็มีเหตุผลหนักแน่นด้วยที่จะมีความนับถือจากใจจริงต่อเพื่อนร่วมความเชื่อ.—อ่าน 1 เปโตร 3:8
เหตุใดจึงสำคัญมาก?
10, 11. เหตุใดการมีความนับถือและให้เกียรติผู้อื่นจึงสำคัญมาก?
10 ทำไมการมีความนับถือและการให้เกียรติจึงสำคัญมาก? เหตุผลคือ โดยการให้เกียรติพี่น้อง เรามีส่วนส่งเสริมสวัสดิภาพ และเอกภาพของทั้งประชาคมได้มากทีเดียว.
11 แน่นอน เราตระหนักว่าการมีสายสัมพันธ์ใกล้ชิดกับพระยะโฮวาและการได้รับการสนับสนุนจากพระวิญญาณของพระยะโฮวาเป็นที่มาของกำลังอันเข้มแข็งที่สุดที่เรามีในฐานะคริสเตียนแท้. (เพลง. 36:7; โย. 14:26) ในขณะเดียวกัน เมื่อเพื่อนร่วมความเชื่อแสดงให้เห็นว่าพวกเขาเห็นค่าในตัวเรา เราก็มีกำลังใจ. (สุภา. 25:11) เรารู้สึกปลื้มใจเมื่อมีคนพูดอะไรบางอย่างที่แสดงความขอบคุณและความนับถืออย่างจริงใจ. นั่นเสริมกำลังเราให้ดำเนินต่อ ๆ ไปด้วยความยินดีและมุ่งมั่นในเส้นทางสู่ชีวิต. ไม่ต้องสงสัยว่าคุณเองคงรู้สึกอย่างนี้ด้วย.
12. เราแต่ละคนจะมีส่วนช่วยให้มีบรรยากาศที่อบอุ่นและเปี่ยมด้วยความรักในประชาคมได้อย่างไร?
12 เนื่องจากพระยะโฮวาทรงทราบว่าเราต้องการที่จะโรม 12:10, ฉบับแปล ทูเดส์ อิงลิช; อ่านมัดธาย 7:12) คริสเตียนทุกคนที่คำนึงถึงคำแนะนำนี้อยู่เสมอซึ่งใช้ได้ทุกยุคทุกสมัยมีส่วนส่งเสริมบรรยากาศที่อบอุ่นและเปี่ยมด้วยความรักภายในสังคมพี่น้องคริสเตียน. ดังนั้น เราควรถามตัวเองว่า ‘ฉันแสดงความนับถือจากใจจริงต่อพี่น้องในประชาคมด้วยคำพูดและการกระทำครั้งสุดท้ายเมื่อไร?’—โรม 13:8
ได้รับความนับถือมาตั้งแต่เกิด พระองค์จึงกระตุ้นเราโดยทางพระคำของพระองค์ให้ “กระตือรือร้นที่จะแสดงความนับถือกันและกัน.” (เราทุกคนควรนำหน้า ในการให้เกียรติ
13. (ก) ใครควรนำหน้าในการให้เกียรติกัน? (ข) ถ้อยคำของเปาโลในโรม 1:7 บ่งชี้ถึงอะไร?
13 ใครควรนำหน้าในการให้เกียรติ? ในจดหมายของเปาโลที่เขียนถึงคริสเตียนชาวฮีบรู ท่านเรียกคริสเตียนผู้ปกครองว่าเป็น “ผู้ที่นำหน้าท่ามกลางท่านทั้งหลาย.” (ฮีบรู 13:17) จริงอยู่ ผู้ปกครองนำหน้าในกิจกรรมหลายอย่าง. ถึงกระนั้น ในฐานะผู้บำรุงเลี้ยงฝูงแกะ เป็นเรื่องแน่นอนว่าพวกเขาต้องนำหน้าในการให้เกียรติเพื่อนร่วมความเชื่อ—รวมถึงเพื่อนผู้ปกครองด้วยกัน. ตัวอย่างเช่น เมื่อผู้ปกครองประชุมกันเพื่อพิจารณาความจำเป็นของประชาคม พวกเขาให้เกียรติกันด้วยการตั้งใจฟังความเห็นของผู้ปกครองคนอื่น ๆ. นอกจากนั้น พวกเขาให้เกียรติกันด้วยการคำนึงถึงทัศนะและท่าทีของผู้ปกครองทั้งหมดเมื่อจะตัดสินใจในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง. (กิจ. 15:6-15) แต่เราควรจำไว้ว่าจดหมายของเปาโลที่เขียนถึงคริสเตียนในกรุงโรมไม่ได้เขียนถึงเฉพาะผู้ปกครอง แต่เขียนถึงทั้งประชาคม. (โรม 1:7) ด้วยเหตุนั้น คำแนะนำที่ให้นำหน้าในการให้เกียรติกันจึงใช้ได้กับเราทุกคนในทุกวันนี้ด้วย.
14. (ก) จงอธิบายความแตกต่างระหว่างการให้เกียรติกับการนำหน้า ในการให้เกียรติ. (ข) เราอาจถามตัวเองอย่างไร?
14 ขอให้สังเกตแง่มุมต่อไปนี้ในคำแนะนำของเปาโลด้วย. ท่านกระตุ้นเพื่อนร่วมความเชื่อในกรุงโรมโดยไม่เพียงแค่บอกว่าควรให้เกียรติกัน แต่บอกว่าให้นำหน้า ในการให้เกียรติกัน. การเพิ่มคำเช่นนั้นทำให้มีความหมายต่างออกไปอย่างไร? ขอให้พิจารณาตัวอย่างนี้. ครูจะกระตุ้นนักเรียนที่อ่านออกเขียนได้แล้วให้หัดอ่านไหม? เขาไม่ทำอย่างนั้นแน่ เพราะนักเรียนอ่านหนังสือได้แล้ว. ครูคนนี้คงอยากจะช่วยนักเรียนให้ปรับปรุงการอ่านให้ดีขึ้นมากกว่า. ในทำนองเดียวกัน การมีความรักต่อกัน ซึ่งกระตุ้นเราที่จะให้เกียรติกัน เป็นเครื่องหมายที่ระบุตัวคริสเตียนแท้อยู่แล้ว. (โย. 13:35) แต่ก็เช่นเดียวกับที่นักเรียนซึ่งอ่านออกเขียนได้แล้วจะก้าวหน้ามากขึ้นได้ด้วยการปรับปรุงความสามารถในการอ่าน เราก็จะก้าวหน้ามากขึ้นได้ด้วยการนำหน้า ในการให้เกียรติกัน. (1 เทส. 4:9, 10) เราทุกคนควรเป็นฝ่ายริเริ่มในการให้เกียรติกัน. คุณอาจถามตัวเองว่า ‘ฉันกำลังทำอย่างนั้นในประชาคมไหม?’
จงให้เกียรติ “คนต่ำต้อย”
15, 16. (ก) เราไม่ควรมองข้ามใครในการให้เกียรติกัน และเพราะเหตุใด? (ข) อะไรอาจเผยให้เห็นว่าเรามีความนับถือจากใจจริงต่อพี่น้องของเราทุกคน?
15 เมื่อให้เกียรติผู้อื่น ใครในประชาคมที่เราไม่ควรมองข้าม? พระคำของพระเจ้ากล่าวว่า “คนที่เอ็นดูเผื่อแผ่แก่คนยากจน [“คนต่ำต้อย,” ล.ม.] เปรียบเหมือนได้ให้พระยะโฮวาทรงยืมไป; และพระองค์จะทรงตอบแทนคุณความดีของเขา.” (สุภา. 19:17) หลักการนี้ที่พบในข้อความดังกล่าวควรมีผลต่อเราอย่างไรขณะที่เราพยายามนำหน้าในการให้เกียรติกัน?
16 คุณคงเห็นด้วยว่าคนส่วนใหญ่เต็มใจจะให้เกียรติคนที่อยู่ในฐานะสูงกว่าตน แต่คนกลุ่มเดียวกันนี้อาจปฏิบัติต่อคนที่เขาถือว่าด้อยกว่าตนโดยแทบจะไม่ให้ความนับถือหรือไม่ให้ความนับถือเลย. อย่างไรก็ตาม พระยะโฮวาไม่ทรงเป็นเช่นนั้น. พระองค์ตรัสว่า “ผู้ที่ให้เกียรติแก่เรา เราจะให้เกียรติ.” (1 ซามู. 2:30, ฉบับ R73; เพลง. 113:5-7) พระยะโฮวาทรงให้เกียรติแก่ทุกคนที่รับใช้พระองค์และให้เกียรติพระองค์. พระองค์ไม่ทรงละเลย “คนต่ำต้อย.” (อ่านบทเพลงสรรเสริญ 138:6; 2 โคร. 16:9) แน่นอน เราต้องการจะเลียนแบบพระยะโฮวา. ด้วยเหตุนั้น ถ้าเราต้องการจะวัดว่าเราให้เกียรติคนอื่นจริง ๆ ขนาดไหน เราควรถามตัวเองว่า ‘ฉันปฏิบัติต่อคนที่ไม่มีตำแหน่งเด่นหรือไม่มีหน้าที่รับผิดชอบในประชาคมอย่างไร?’ (โย. 13:14, 15) คำตอบสำหรับคำถามนี้จะเผยให้เห็นได้มากทีเดียวว่าเรามีความนับถือจากใจจริงต่อคนอื่นมากน้อยเพียงไร.—อ่านฟิลิปปอย 2:3, 4
ให้เกียรติโดยให้เวลา
17. วิธีสำคัญอย่างหนึ่งที่เราอาจทำได้เพื่อจะนำหน้าในการให้เกียรติกันคืออะไร และเหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น?
17 วิธีสำคัญอย่างหนึ่งที่เราอาจทำได้เพื่อจะนำหน้าในการให้เกียรติทุกคนในประชาคมคืออะไร? คือการให้เวลาแก่คนอื่น. เหตุใดจึงเป็นอย่างนั้น? ในฐานะคริสเตียน เรามีธุระยุ่งหลายอย่าง และเราใช้เวลามากในการทำกิจกรรมหลายอย่างที่สำคัญในประชาคม. ด้วยเหตุนั้น ไม่แปลกที่เราถือว่าเวลาเป็นสิ่งมีค่า. เราตระหนักด้วยว่าเราไม่ควรเรียกร้องเวลาจากพี่น้องมากเกินไป. ในทำนองเดียวกัน เรารู้สึกขอบคุณเมื่อคนอื่น ๆ ในประชาคมเข้าใจว่าพวกเขาก็ไม่ควรเรียกร้องเวลาจากเรามากเกินไปเช่นกัน.
18. ดังที่เห็นในภาพหน้า 18 เราอาจแสดงให้เห็นได้อย่างไรว่าเราเต็มใจจะให้เวลาแก่เพื่อนร่วมความเชื่อ?
18 อย่างไรก็ตาม เรายังตระหนักด้วย (โดยเฉพาะคนที่เป็นผู้บำรุงเลี้ยงในประชาคม) ว่า การที่เราเต็มใจถูกขัดจังหวะจากการทำอะไรบางอย่างเพื่อให้เวลาแก่เพื่อนร่วมความเชื่อแสดงให้เห็นว่า เรามีความนับถือต่อพวกเขา. เป็นเช่นนั้นอย่างไร? ด้วยการละมือจากการทำอะไรบางอย่างเพื่อให้เวลาแก่พี่น้อง ก็เหมือนกับเราพูดกับเขาว่า ‘คุณมีค่าอย่างยิ่งในสายตาของผม ผมจึงเห็นว่าการให้เวลาคุณสำคัญกว่าสิ่งที่ผมทำอยู่.’ (มโก. 6:30-34) เป็นเช่นนั้นด้วยในทางตรงกันข้าม. ถ้าเราไม่เต็มใจจะละมือจากสิ่งที่กำลังทำอยู่เพื่อให้เวลาแก่พี่น้อง เราอาจทำให้เขารู้สึกว่าเขาไม่ค่อยมีค่าเท่าไรนักสำหรับเรา. แน่นอน เป็นที่เข้าใจว่าบางครั้งเราไม่อาจละมือจากเรื่องสำคัญบางอย่างที่กำลังทำอยู่. กระนั้น การที่เราเต็มใจหรือไม่เต็มใจที่จะให้เวลาแก่คนอื่นเผยให้เห็นว่าเรามีความนับถืออย่างลึกซึ้งจากหัวใจต่อพี่น้องมากน้อยขนาดไหน.—1 โค. 10:24
จงตั้งใจที่จะนำหน้าในการให้เกียรติกัน
19. นอกจากให้เวลาแล้ว มีวิธีใดอีกที่เราจะให้เกียรติเพื่อนร่วมความเชื่อได้?
19 มีวิธีสำคัญอื่น ๆ อีกที่เราจะให้เกียรติเพื่อนร่วมความเชื่อได้. ตัวอย่างเช่น เมื่อเราให้เวลาแก่คนอื่น เราควรแสดงความสนใจพวกเขาด้วย. อีกครั้งหนึ่ง พระยะโฮวาทรงวางตัวอย่างไว้. ดาวิดผู้ประพันธ์เพลงสรรเสริญกล่าวว่า “พระเนตรพระยะโฮวาเพ่งดูผู้ชอบธรรม, และพระกรรณของพระองค์ทรงสดับฟังคำทูลร้องทุกข์ของเขา.” (เพลง. 34:15) เราพยายามเลียนแบบพระยะโฮวาด้วยการเพ่งตาดูและเงี่ยหูฟังพี่น้อง หรือให้ความสนใจอย่างเต็มที่ต่อพวกเขา โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่เข้ามาขอความช่วยเหลือจากเรา. เราให้เกียรติเพื่อนร่วมความเชื่อเมื่อเราทำอย่างนั้น.
20. เราไม่ควรลืมข้อเตือนใจอะไรเกี่ยวกับการให้เกียรติกัน?
20 ดังที่ได้พิจารณากันไปแล้ว เราต้องการจำไว้เสมอถึงเหตุผลที่เราควรมีความนับถือจากใจจริงต่อเพื่อนร่วมความเชื่อ. นอกจากนั้น เรามองหาโอกาสที่จะให้เกียรติทุกคนก่อน รวมถึงคนที่ต่ำต้อย. เมื่อทำอย่างนั้นแล้ว เราจะช่วยเสริมสายสัมพันธ์ของความรักฉันพี่น้องให้เหนียวแน่นยิ่งขึ้นและทำให้มีเอกภาพมากขึ้นในประชาคม. ด้วยเหตุนั้น ขอให้เราทุกคนไม่เพียงแค่ให้เกียรติคนอื่นเท่านั้น แต่จะนำหน้า ในการให้เกียรติกันต่อ ๆ ไป. คุณตั้งใจที่จะทำอย่างนั้นไหม?
[เชิงอรรถ]
^ วรรค 7 ถ้อยคำของดาวิดในเพลงสรรเสริญบท 8 เป็นภาพพยากรณ์ด้วยซึ่งชี้ถึงพระเยซูคริสต์มนุษย์สมบูรณ์.—ฮีบรู 2:6-9
คุณจำได้ไหม?
• การให้เกียรติและความนับถือเกี่ยวข้องกันอย่างไร?
• เรามีเหตุผลอะไรบ้างที่จะให้เกียรติเพื่อนร่วมความเชื่อ?
• เหตุใดจึงสำคัญที่จะให้เกียรติกัน?
• เราจะให้เกียรติเพื่อนร่วมความเชื่อโดยวิธีใดได้บ้าง?
[คำถาม]
[ภาพหน้า 18]
เราจะให้เกียรติเพื่อนร่วมความเชื่อได้อย่างไร?