คัมภีร์ไบเบิลเปลี่ยนชีวิตคน
คัมภีร์ไบเบิลเปลี่ยนชีวิตคน
ทำไมชายคนหนึ่งที่ชีวิตมีแต่เรื่องมอเตอร์ไซค์, ยาเสพติด, และกีฬา จึงเลือกที่จะมาเป็นผู้เผยแพร่เต็มเวลา? อะไรทำให้นักพนันอาชีพเลิกเล่นพนันและหาเลี้ยงครอบครัวด้วยการทำงานที่สุจริต? อะไรกระตุ้นให้หญิงสาวที่เคยเติบโตมาในครอบครัวพยานพระยะโฮวาแต่ได้ละทิ้งมาตรฐานของคัมภีร์ไบเบิลหันกลับมาทบทวนชีวิตของตนอีกครั้ง? ให้เราอ่านเรื่องที่พวกเขาจะเล่าต่อไปนี้.
ประวัติโดยย่อ
ชื่อ: เทอร์เรนซ์ เจ. โอเบรียน
อายุ: 57 ปี
ประเทศ: ออสเตรเลีย
อดีต: เคยใช้ยาเสพติดและคลั่งไคล้มอเตอร์ไซค์
ชีวิตที่ผ่านมา: ผมใช้ชีวิตวัยเด็กในบริสเบน เมืองหลวงของรัฐควีนส์แลนด์ซึ่งเป็นเมืองที่พลุกพล่าน. ครอบครัวของผมเป็นคาทอลิก แต่หลังจากผมอายุแปดขวบพวกเราก็เลิกไปโบสถ์และไม่เคยคุยกันเรื่องศาสนาอีกเลย. เมื่อผมอายุสิบขวบ ครอบครัวก็ย้ายไปอยู่ที่โกลด์โคสต์ในออสเตรเลีย. เราอยู่ใกล้ ๆ ชายหาด และช่วงที่เริ่มเป็นวัยรุ่นผมใช้เวลาส่วนใหญ่ว่ายน้ำและโต้คลื่น.
ถึงกระนั้น ชีวิตวัยเด็กของผมไม่มีความสุข. พ่อทิ้งครอบครัวไปตอนที่ผมอายุได้แปดขวบ. แม่แต่งงานใหม่และในบ้านของเรามีการดื่มเหล้าและทะเลาะเบาะแว้งกันเป็นประจำ. คืนวันหนึ่ง หลังจากพ่อแม่ทะเลาะกันอย่างรุนแรง ผมนั่งอยู่บนเตียง ปฏิญาณกับตัวเองว่า ถ้าผมแต่งงานผมจะไม่มีวันทะเลาะกับภรรยาเลย. แม้จะมีปัญหา แต่ครอบครัวของเราที่มีลูกหกคนรวมทั้งแม่และพ่อเลี้ยงก็สนิทสนมกัน.
เมื่อผมอยู่ในช่วงวัยรุ่น เพื่อน ๆ หลายคนเป็นคนขืนอำนาจ. พวกเขาเริ่มสูบกัญชา, บุหรี่, และใช้ยาเสพติดอื่น ๆ แถมยังดื่มเหล้าอีกด้วย. ผมก็ใช้ชีวิตแบบเสรีเหมือนอย่างเพื่อน ๆ ที่ไม่สนใจอะไร. ผมยังชื่นชอบการขี่มอเตอร์ไซค์ด้วย. แม้ว่าผมจะประสบอุบัติเหตุร้ายแรงสองสามครั้ง ผมก็ยังชอบมอเตอร์ไซค์มากและตั้งใจว่าจะขี่ไปทั่วออสเตรเลีย.
แม้ผมมีอิสระที่จะทำอะไรทุกอย่าง แต่ผมรู้สึกเศร้าใจบ่อย ๆ เมื่อคิดถึงสภาพการณ์ในโลกและการที่ผู้คนส่วน
ใหญ่ไม่สนใจปัญหาของมนุษย์. ผมปรารถนาจะรู้ความจริงเกี่ยวกับพระเจ้า, ศาสนา, และสภาพการณ์ของโลก. แต่เมื่อผมถามบาทหลวงคาทอลิกสองคนเกี่ยวกับเรื่องนี้ ผมก็ต้องผิดหวังกับคำตอบที่ได้รับ. ผมถามเรื่องเดียวกันนี้กับนักเทศน์นิกายโปรเตสแตนต์หลายคน แต่ก็ผิดหวังกับคำตอบของพวกเขาเช่นกัน. แต่แล้วเพื่อนคนหนึ่งนัดให้ผมพบกับพยานพระยะโฮวาชื่อเอ็ดดี. ผมได้คุยกับเอ็ดดีสี่ครั้ง และแต่ละครั้งเขาใช้คัมภีร์ไบเบิลตอบคำถามของผม. ตั้งแต่คุยกันครั้งแรก ผมก็รู้เลยว่าผมได้พบบางสิ่งที่พิเศษ. แต่ในตอนนั้นผมไม่เห็นว่าจำเป็นต้องเปลี่ยนรูปแบบชีวิตของตัวเอง.คัมภีร์ไบเบิลเปลี่ยนชีวิตผมอย่างไร: ระหว่างที่ผมเดินทางไปทั่วออสเตรเลีย ผมได้พบพยานฯ อีกคนหนึ่งซึ่งเราได้คุยกันหลายครั้ง. แต่เมื่อผมกลับมาที่ควีนส์แลนด์ ผมก็ไม่ได้ติดต่อกับพยานฯ อีกเป็นเวลาหกเดือน.
แต่แล้ววันหนึ่ง ขณะที่ผมกลับมาบ้านหลังเลิกงาน ผมเห็นชายสองคนที่แต่งตัวดีเดินหิ้วกระเป๋าอยู่ริมถนน และผมเดาว่าพวกเขาคงเป็นพยานพระยะโฮวา. ผมเข้าไปหาพวกเขาและก็พบว่าเป็นพยานฯ จริง ๆ จึงขอให้พวกเขามาสอนคัมภีร์ไบเบิลให้ผม. ผมเริ่มเข้าร่วมประชุมกับพยานฯ ทันทีและถึงกับเข้าร่วมการประชุมใหญ่ที่จัดขึ้นที่ซิดนีย์ในปี 1973 ด้วย. อย่างไรก็ตาม เมื่อครอบครัวของผม โดยเฉพาะแม่ รู้ว่าผมกำลังทำอะไรอยู่พวกเขาก็ทุกข์ใจมาก. เพราะเหตุผลนี้และเหตุผลอื่น ๆ ผมจึงเลิกคบหากับพยานฯ. ในช่วงหนึ่งปีหลังจากนั้น ผมก็หมกมุ่นอยู่กับสิ่งหนึ่งที่ผมชอบมากคือการเล่นคริกเก็ต.
แต่ในที่สุด ผมก็ได้ตระหนักว่าช่วงเวลาเดียวที่มีความสุขจริง ๆ ก็คือตอนที่ศึกษาคัมภีร์ไบเบิลกับพยานพระยะโฮวา. ผมจึงติดต่อกับพวกเขาแล้วเริ่มเข้าร่วมประชุมอีก. นอกจากนั้น ผมยังเลิกคบหากับเพื่อน ๆ ที่ใช้ยาเสพติดด้วย.
จริง ๆ แล้วสิ่งที่กระตุ้นผมให้เปลี่ยนแปลงชีวิตเช่นนั้นก็คือเรื่องของโยบที่ผมได้เรียนจากคัมภีร์ไบเบิล. บิลล์ พยานฯ สูงอายุที่ใจดีแต่ก็จริงจังมาสอนคัมภีร์ไบเบิลให้ผมเป็นประจำ. หลังจากเราเรียนเรื่องของโยบ บิลล์ถามผมว่า มีใครอีกที่ซาตานกล่าวหาว่าไม่ได้รับใช้พระเจ้าอย่างที่ออกมาจากหัวใจจริง ๆ. (โยบ 2:3-5) ผมบอกชื่อทุกคนในคัมภีร์ไบเบิลที่ผมรู้จัก แล้วบิลล์ก็ตอบอย่างใจเย็นว่า “ก็ใช่ รวมถึงคนเหล่านั้นด้วย.” แล้วเขาก็มองหน้าผมและพูดว่า “ซาตานกำลังกล่าวหาคุณด้วย!” ผมแทบจะตกเก้าอี้เลยทีเดียว. ก่อนหน้านั้นผมรู้ว่าหลักคำสอนที่ผมเรียนอยู่นี้เป็นความจริง. แต่ผมเพิ่งได้เข้าใจตอนนี้เองว่าทำไมควรทำตามสิ่งที่ได้เรียนรู้. สี่เดือนต่อมา ผมก็รับบัพติสมาเป็นพยานพระยะโฮวา.
ประโยชน์ที่ได้รับ: ผมรู้สึกกลัวทุกครั้งที่คิดว่าตอนนี้ชีวิตจะเป็นอย่างไรถ้าไม่ได้ทำตามมาตรฐานของคัมภีร์ไบเบิล. ผมคงจะตายไปแล้วแน่ ๆ. เพื่อนหลายคนที่ผมเคยคบหาได้ตายเพราะยาเสพติดหรือไม่ก็เพราะเหล้า. อีกทั้งชีวิตสมรสของพวกเขาก็ไม่มีความสุข. ผมคิดว่าชีวิตของผมก็คงเป็นอย่างเดียวกันนั้นแหละ.
ตอนนี้ผมแต่งงานแล้ว และผมกับมาร์กาเรตมีความสุขที่ได้ทำงานในสำนักงานสาขาของพยานพระยะโฮวาที่ออสเตรเลีย. ไม่มีใครในครอบครัวมานมัสการพระยะโฮวาด้วยกันกับผม. แต่หลายปีที่ผ่านมานี้ ผมกับมาร์กาเรตมีความ
ยินดีที่ได้สอนคัมภีร์ไบเบิลให้กับหลายคนและคู่สมรสอีกหลายคู่ซึ่งเปลี่ยนแปลงชีวิตของพวกเขาอย่างที่ผมได้ทำ. ขณะทำงานนี้ เราได้รู้จักเพื่อนดี ๆ หลายคน. นอกจากนั้น มาร์กาเรต ซึ่งโตมาในครอบครัวพยานฯ ก็ช่วยผมให้รักษาคำปฏิญาณที่เคยทำไว้เกือบ 40 ปีก่อน. เรามีชีวิตสมรสที่มีความสุขมานานกว่า 25 ปีแล้ว. เราไม่ได้เห็นตรงกันในทุกเรื่อง แต่เราก็ยังไม่เคยทะเลาะกันเลย. เราสองคนรู้สึกขอบคุณคัมภีร์ไบเบิลในเรื่องนี้.ประวัติโดยย่อ
ชื่อ: มาซะฮิโร โอคะบายาชิ
อายุ: 39 ปี
ประเทศ: ญี่ปุ่น
อดีต: นักพนัน
ชีวิตที่ผ่านมา: ผมเติบโตมาในเมืองอิวาคุระ เมืองที่ค่อนข้างเล็ก ห่างจากนาโกยาไปราว ๆ ครึ่งชั่วโมงโดยทางรถไฟ. ผมจำได้ว่าทั้งแม่และพ่อเป็นคนใจดีมาก. แต่ผมมารู้ทีหลังว่าพ่อของผมอยู่ในแก๊งยากูซา และหาเลี้ยงครอบครัวที่มีสมาชิกห้าคนด้วยการฉ้อโกง. พ่อดื่มเหล้ามากทุกวัน และเมื่อผมอายุ 20 ปีพ่อก็เสียชีวิตด้วยโรคตับแข็ง.
พ่อเป็นคนเกาหลี ครอบครัวของเราจึงถูกคนในชุมชนเหยียดหยาม. เรื่องนี้กับปัญหาอื่น ๆ อีกทำให้ชีวิตวัยรุ่นของผมไม่มีความสุข. ผมเข้าเรียนชั้นมัธยมแต่ไปบ้างไม่ไปบ้างและหลังจากหนึ่งปีผมก็เลิกเรียน. ผมมีประวัติอยู่ที่ตำรวจอยู่แล้วอีกทั้งเป็นลูกครึ่งเกาหลีจึงหางานทำได้ยาก. ในที่สุด ผมก็หางานได้แต่ผมได้รับบาดเจ็บที่หัวเข่าจึงทำงานที่ต้องใช้แรงไม่ได้.
ผมเริ่มหาเลี้ยงตัวเองโดยการเล่มเกมปาชิงโกะ ซึ่งเป็นการพนันอย่างหนึ่ง. ตอนนั้น ผมอยู่กินกับหญิงสาวคนหนึ่งที่ต้องการให้ผมหางานทำเป็นเรื่องเป็นราวแล้วแต่งงานกับเธอ. แต่ผมหาเงินได้มากจากการเล่นพนัน และผมก็ไม่ต้องการจะเปลี่ยนชีวิตของผม.
คัมภีร์ไบเบิลเปลี่ยนชีวิตผมอย่างไร: วันหนึ่ง พยานพระยะโฮวาคนหนึ่งมาที่บ้านของเราและให้หนังสือผมเล่มหนึ่งชื่อชีวิต—เกิดขึ้นมาอย่างไร? โดยวิวัฒนาการหรือมีผู้สร้าง? คำถามนี้ไม่เคยอยู่ในความคิดของผมมาก่อน. แต่หลังจากอ่านหนังสือนั้นแล้ว ผมก็ตัดสินใจที่จะเรียนรู้จักคัมภีร์ไบเบิลให้มากขึ้น. ผมเคยคิดสงสัยมาตลอดว่าเกิดอะไรขึ้นเมื่อคนเราตาย. คำตอบที่ชัดเจนที่ผมได้รับจากคัมภีร์ไบเบิลเกี่ยวกับเรื่องนี้และเรื่องอื่น ๆ ทำให้ผมตาสว่าง.
ผมตระหนักว่าจำเป็นต้องนำสิ่งที่ได้เรียนรู้จากคัมภีร์ไบเบิลไปใช้. ผมจึงจดทะเบียนสมรสให้ถูกต้องตามกฎหมาย, เลิกสูบบุหรี่, ตัดผมที่ยาวซึ่งเคยย้อมเป็นสีทอง, และแต่งตัวสะอาดเรียบร้อยขึ้น. ผมเลิกเล่นพนันด้วย.
การเปลี่ยนแปลงทั้งหมดนี้ทำได้ยากมาก. ตัวอย่างเช่น ฟิลิปปอย 4:6, 7 ซึ่งกล่าวว่า “อย่าวิตกกังวลกับสิ่งใด แต่จงทูลทุกสิ่งที่พวกท่านปรารถนาต่อพระเจ้าโดยการอธิษฐานและการวิงวอนพร้อมกับการขอบพระคุณ แล้วสันติสุขของพระเจ้าซึ่งเหนือกว่าความคิดทุกอย่างจะปกป้องหัวใจและจิตใจท่านทั้งหลายไว้โดยทางพระคริสต์เยซู.” คำสัญญานี้พิสูจน์แล้วว่าเป็นจริงกับผมในหลายโอกาส.
ผมไม่สามารถเลิกบุหรี่ได้ด้วยกำลังของผมเอง. แต่เพราะผมอธิษฐานอย่างจริงจังและวางใจในพระยะโฮวาพระเจ้าจึงเลิกได้. นอกจากนั้น งานแรกที่ผมทำหลังจากเลิกเล่นเกมปาชิงโกะก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย. ผมหาเงินได้เพียงครึ่งหนึ่งของที่เคยหาได้จากการพนัน และงานก็หนักแถมยังเครียดด้วย. พระคัมภีร์ข้อหนึ่งที่ช่วยผมให้ผ่านช่วงที่ยากลำบากนั้นมาได้คือประโยชน์ที่ได้รับ: ตอนแรกที่ผมเริ่มศึกษาคัมภีร์ไบเบิลกับพยานพระยะโฮวา ภรรยาไม่ค่อยชอบ. แต่เมื่อเธอเห็นผมเปลี่ยนไปมากเธอจึงร่วมศึกษาด้วยและเริ่มเข้าร่วมการประชุมของพยานพระยะโฮวากับผม. ตอนนี้เราทั้งคู่เป็นพยานพระยะโฮวา. ช่างเป็นความยินดีจริง ๆ ที่เราสามารถรับใช้พระเจ้าร่วมกัน!
ก่อนมาเรียนคัมภีร์ไบเบิล ผมคิดว่าผมมีความสุขแล้ว. แต่ตอนนี้ผมรู้ว่าอะไรคือความสุขที่แท้จริง. การใช้ชีวิตตามมาตรฐานของคัมภีร์ไบเบิลไม่ใช่เรื่องง่ายเลย แต่ผมแน่ใจว่านี่เป็นแนวทางชีวิตที่ดีที่สุด.
ประวัติโดยย่อ
ชื่อ: เอลิซาเบท เจน สโคฟิลด์
อายุ: 35 ปี
ประเทศ: สหราชอาณาจักร
อดีต: อยู่เพื่อวันสุดสัปดาห์
ชีวิตที่ผ่านมา: ฉันเติบโตมาในฮาร์ดเกต เมืองเล็ก ๆ ที่อยู่ติดกับเมืองกลาสโกว์ ประเทศสกอตแลนด์. เมื่ออายุเจ็ดขวบ แม่ซึ่งเป็นพยานพระยะโฮวาก็เริ่มสอนคัมภีร์ไบเบิลแก่ฉัน. แต่เมื่ออายุ 17 ปี ฉันชอบคบหากับเพื่อนที่โรงเรียนมากกว่า ทั้งไปไนต์คลับ, ฟังเพลงเฮฟวีเมทัล, และดื่มเหล้า. ฉันไม่ได้คิดถึงเรื่องพระเจ้าเลย. ฉันมีชีวิตอยู่เพื่อวันสุดสัปดาห์. แต่แล้วทุกสิ่งก็เปลี่ยนไปเมื่อฉันอายุ 21 ปี.
ฉันไปเยี่ยมญาติ ๆ ที่ไอร์แลนด์เหนือ. ขณะอยู่ที่นั่นฉันได้เห็นขบวนแห่ของชาวโปรเตสแตนต์ที่เรียกว่า ออเรนจ์ วอล์ก. ความเกลียดชังและอคติอย่างรุนแรงระหว่างชาว
โปรเตสแตนต์กับคาทอลิกที่ได้เห็นในโอกาสนั้นทำให้ฉันตกตะลึง. ที่จริง นั่นทำให้ฉันได้คิด. ฉันจำสิ่งที่แม่เคยสอนจากคัมภีร์ไบเบิลได้และรู้ว่าพระเจ้าจะไม่มีวันชอบพระทัยคนที่ละทิ้งมาตรฐานอันเปี่ยมด้วยความรักของพระองค์. แล้วฉันก็ฉุกคิดขึ้นได้ว่าฉันเอาแต่ยุ่งอยู่กับเรื่องของตัวเองโดยไม่สนใจว่าพระเจ้าต้องการให้ฉันใช้ชีวิตอย่างไร. ฉันตัดสินใจว่าเมื่อกลับไปถึงบ้านที่สกอตแลนด์ฉันจะตรวจสอบสิ่งที่คัมภีร์ไบเบิลสอนอย่างจริงจัง.คัมภีร์ไบเบิลเปลี่ยนชีวิตฉันอย่างไร: ครั้งแรกที่ฉันกลับไปร่วมประชุมกับพยานพระยะโฮวาที่บ้านเกิด ฉันวางตัวไม่ถูกและรู้สึกประหม่า. แต่ทุกคนต้อนรับฉันอย่างดี. เมื่อฉันเริ่มนำสิ่งที่ได้เรียนจากคัมภีร์ไบเบิลไปใช้ สมาชิกคนหนึ่งของประชาคมที่ใจดีมากเอาใจใส่ดูแลฉันเป็นพิเศษ. เธอช่วยฉันได้มาก ทำให้รู้สึกว่าเป็นส่วนหนึ่งของประชาคมอีกครั้ง. พวกเพื่อน ๆ ที่เคยคบหายังชวนฉันไปไนต์คลับอยู่ แต่ฉันบอกพวกเขาว่าฉันตั้งใจจะใช้ชีวิตตามมาตรฐานของคัมภีร์ไบเบิล. ในที่สุด พวกเขาก็เลิกคบกับฉัน.
เมื่อก่อนฉันเคยคิดว่าคัมภีร์ไบเบิลเป็นหนังสือที่มีแต่กฎเกณฑ์ข้อห้าม. ตอนนี้ทัศนะของฉันเปลี่ยนไปแล้ว. ฉันเริ่มมองบุคคลในคัมภีร์ไบเบิลว่าเป็นบุคคลจริงที่มีความรู้สึกและมีข้อบกพร่องต่าง ๆ เหมือนกับฉัน. พวกเขาก็ทำผิดพลาดด้วย แต่พระยะโฮวาพระเจ้าทรงให้อภัยเมื่อพวกเขาสำนึกผิดอย่างแท้จริง. ฉันเริ่มมีความมั่นใจว่า ถึงแม้ฉันจะเคยละทิ้งพระเจ้าไปตอนเป็นวัยรุ่น แต่พระองค์จะให้อภัยและลืมความผิดพลาดในอดีตของฉันถ้าฉันพยายามเต็มที่เพื่อทำให้พระองค์พอพระทัย.
ตัวอย่างของแม่ยังทำให้ฉันประทับใจมากด้วย. แม้ว่าฉันจะละทิ้งพระเจ้าแต่แม่ไม่เคยทำเช่นนั้นเลย. แบบอย่างความภักดีอย่างไม่สั่นคลอนของแม่ทำให้ฉันตระหนักว่าการรับใช้พระยะโฮวานั้นคุ้มค่ากับความพยายาม. ตอนเป็นเด็กและไปประกาศเผยแพร่ตามบ้านกับแม่ ฉันไม่เคยมีความสุขเลย และไม่เคยคิดเลยว่าตนเองจะใช้เวลานานหลายชั่วโมงในการประกาศกับผู้คนได้. แต่ตอนนี้ฉันตัดสินใจจะลองดูว่าคำสัญญาของพระเยซูที่มัดธาย 6:31-33 จะเป็นจริงหรือไม่. พระองค์ตรัสว่า “อย่าวิตกกังวลและพูดว่า ‘เราจะกินอะไร?’ หรือ ‘เราจะดื่มอะไร’ หรือ ‘เราจะสวมอะไร?’ . . . พระบิดาของเจ้าทั้งหลายผู้สถิตในสวรรค์ทรงทราบว่าพวกเจ้าต้องมีสิ่งทั้งปวงนี้. ดังนั้น จงแสวงหาราชอาณาจักรและความชอบธรรมของพระองค์ก่อนเสมอไป แล้วพระองค์จะทรงให้สิ่งทั้งปวงนี้แก่พวกเจ้า.” หลังจากที่รับบัพติสมาเป็นพยานพระยะโฮวาได้ไม่นาน ฉันก็ออกจากงานประจำมาทำงานแบบไม่เต็มเวลา แล้วมาเป็นผู้เผยแพร่เต็มเวลา.
ประโยชน์ที่ได้รับ: ตอนเป็นวัยรุ่นและใช้ชีวิตเพื่อวันสุดสัปดาห์เท่านั้น ฉันไม่เคยรู้สึกอิ่มใจพอใจ. ชีวิตของฉันว่างเปล่า. แต่ตอนนี้เมื่อมารับใช้พระยะโฮวาอย่างเต็มที่ ฉันรู้สึกอิ่มใจพอใจ. ชีวิตมีความหมายและจุดมุ่งหมาย. ขณะนี้ฉันแต่งงานแล้ว และฉันกับสามีเดินทางไปเยี่ยมประชาคมต่าง ๆ ของพยานพระยะโฮวาในแต่ละสัปดาห์เพื่อหนุนใจพวกเขา. ฉันถือว่างานนี้เป็นสิทธิพิเศษที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิต. ฉันรู้สึกขอบพระคุณพระยะโฮวาอย่างเหลือล้นที่ให้โอกาสฉันอีกครั้งหนึ่ง!
[คำโปรยหน้า 27]
“ตั้งแต่คุยกันครั้งแรก ผมก็รู้เลยว่าผมได้พบบางสิ่งที่พิเศษ. แต่ในตอนนั้น ผมไม่เห็นว่า จำเป็นต้องเปลี่ยนรูปแบบชีวิตของตัวเอง”
[คำโปรยหน้า 29]
“ผมไม่สามารถเลิกบุหรี่ได้ด้วยกำลังของผมเอง. แต่เพราะผมอธิษฐานอย่างจริงจังและ วางใจในพระยะโฮวาพระเจ้าจึงเลิกได้”
[คำโปรยหน้า 30]
“เมื่อก่อนฉันเคยคิดว่าคัมภีร์ไบเบิลเป็นหนังสือที่มีแต่กฎเกณฑ์ข้อห้าม. ตอนนี้ทัศนะของฉันเปลี่ยนไปแล้ว. ฉันเริ่มมองบุคคลในคัมภีร์ไบเบิลว่าเป็นบุคคลจริงที่มีความรู้สึกและมีข้อบกพร่องต่าง ๆ เหมือนกับฉัน”